วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

10 ผลไม้ที่กินแล้วอ้วนแน่นๆ

           สวัสดีคับ เป็นไงกันบ้างช่วงนี้ลดน้ำหนักกันได้สักกิโล 2 กิโลหรือป่าว พยายามเข้านะครับสู้ๆ บทความของอ้วนลดต่อไปนี้เราจะไปพูดกันถึงหัวข้อเรื่อง 10 ผลไม้ที่กินแล้วอ้วนแน่นๆ ใช่ครับในช่วงที่เราลดความอ้วนอยู่นั้นจะต้องงดทานอาหารจำพวกแป้งและไขมัน ดังนั้นผลไม้จึงจำเป็นต่อการลดน้ำหนักมากกก แต่ก็ไม่ใช่มากที่สุดนะครับเพราะผลไม้ทุกชนิดมีสารจำพวกน้ำตาลอยู่ สิ่งที่เราควรจะทานมากที่สุดก็คืออาหารจำพวกโปรตีนครับ ดังบทความลดความอ้วนที่ผมกล่าวไปคับ นี่ครับสำหรับคนยังอ่าน วิธีลดน้ำหนักแบบถูกต้อง คลิ้กเลยครับ  
           ใช่ครับผลไม้ทุกอย่างไ่ม่ได้มีน้ำตาลที่ปริมาณ บ้างชนิดมีน้ำตาลมากก บ้างมีน้ำตาลน้อย  งั้นผมจะขอกล่าวถึงผลไม้ที่มีน้ำตาลมากก็แล้วล่ะเพื่อที่จะให้เพื่อนๆพยายามเลี่ยงมันให้ตัวมากที่สุดล่ะกันครับเพราะมันมีแต่ของอร่อยๆทั้งนั้น 555

ผลไม้ที่กินแล้วอ้วนแบบสุดสุด คือ
#ผมเรียงจากผลไม้ที่กินแล้วอ้วนมากไปอ้วนน้อยนะครับ

1. กล้วยไข่ 
กล้วยไข่



2. กล้วยน้ำว้า 
กล้วยน้ำว้า



3. ขนุน 
ขนุน



4. กล้วยหอม 
กล้วยหอม

5. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก



6. ลำไยกะโหลกเขียว 
ลำไยกะโหลกเขียว



7. ลองกอง 
ลองกอง



8. เงาะ 
เงาะ

9. ลางสาด 
ลางสาด



10. ละมุด 
ละมุด

   ปล. แม้ทุเรียนจะไม่ติดอันดับ แต่ก็มีมีน้ำตาลสูงเหมือนกันนะอย่าลืมไปล่ะฃ
__________________________________________________
อยากลดความอ้วน,ลดน้ำหนักมาที่  อ้วนลด.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555

วิธีลดน้ำหนักแบบถูกต้อง

การลดน้ำหนักที่ดีเราจะต้องมีความตั้งใจจริงที่ลดน้ำหนัก หากไม่มีความตั้งใจก็อย่าหวังว่าจะสามารถลดน้ำหนักได้ ไม่ว่าจะมีเงินมากมายมหาศาลขนาดไหนก็ไม่มีทางลดน้ำหนักได้(ต่อให้ไปหาหมอชื่อดัง,ดูดไขมันออกก็ลดไม่ได้ซึ่งวิธีพวกนี้เขาลดได้แค่ช่วงแรกๆเท่านั้น ถ้าควบคุมอาหารไม่ได้ก็กลับมาอ้วนอยู่ดี)
สิ่งที่เราต้องมีมีดังนี้
1.  ความตั้งใจ
2.  อดทน
3.  มีวินัย
4.  เวลาในการออกกำลังกาย
*5.  อุปกรณ์ออกกำลังกาย    * ไม่ต้องมีก็ได้เพราะกีฬาบางประเภทไม่ต้องใช้

1.  ตั้งเเป้าหมายลดน้ำหนักสิ่งแรกที่ต้องทำ
ตั้งเเป้าหมายการลดน้ำหนักซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป้าหมายการลดน้ำหนักอาจเขียนใส่กระดาษติดผนังไว้ ถ้าอายก็เขียนใส่สมุดส่วนตัวก็ได้ เรื่องที่เขียนอาจเขียนว่าลดน้ำหนักวันนี้ถึงวันนี้  ลดเดือนละกี่กก.(เดือนละ 2-3 กก.กำลังเหมาะสม) อาจใส่ชื่อตัวเองไว้เตือนใจก็ได้ กระดาษที่เขียนเป้าหมายการลดน้ำหนักควรเก็บไว้ไม่ให้ขาดหรือหายเป็นอันขาดเพราะมันถือเป็นสัญญาการลดน้ำหนักของเรา
ตัวอย่างการเขียนการตั้งเเป้าหมายการลดน้ำหนัก

ผมนายสองแว่น อ้วนลดได้จะทำการลดน้ำหนักวันที่ 16 เมษายน พ.. 2555ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.. 2555
ตั้งเป้าไว้ว่าจะลด  กิโลกรัม  จาก 63 กิโลกรัม เป็น 60 กิโลกรัม
ตั้งเป้าหมายวันที่ 15 เมษายน พ.. 2555
ลงชื่อ สองแว่น  อ้วนลดได้ 
2.  วิธีลดน้ำหนัก
มีถึงใจความสำคัญของบทความนี้กันแล้ว การลดน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพและถูกหลักวิธีนั้นแบ่งออกเป็นหลักๆอยู่ 2 อย่างคือ 1.  การกิน  2. ออกกำลังกาย
2.1.  การกิน
การกินถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนัก  ถ้าเราสามารถปริมาณอาหารได้บ้างคนก็อาจไม่ต้องออกกำลังกายเลยก็ได้
(ถ้ามีการเผาผลาญพลังงานที่เพียงพอ อ่านวิธีคำนวณการเผาผลาญพลังงานคลิ้ก)
หลักการกินมีดังนี้
1.  ทานอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรีวันละ  1000 – 1200 กิโลแคลอรี(ดูตารางปริมาณแคลอรี่คลิ้ก)
2.  ทานอาหารครบ 3 มื้อ
3.  ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่(ถ้าเราทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่เราอาจหิวได้)
4.  ทานโปรตีนเป็นครึ่งหนึ่งของอาหาร(จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งบางคนอาจมีการเผาผลาญพลังงานที่น้อย)
5.  ทานผัก ผลไม้บางก็ได้
2.2  ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายไม่ว่าเป็นการออกกำลังกายประเภทไหน เราควรออกจริงๆจังๆไม่ควรน้อย 30 นาทีโดยไม่พักเพราะตอนออกกำลังร่างกายของเราจะมีการดึงพลังงานจากส่วนหนึ่ง แล้วค่อยไปส่วนหนึ่ง ถ้าเราพักก่อน 30 นาทีการดึงพลังงานก็จะเริ่มต้นใหม่
*** tip การออกกำลังที่ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
*** เราควรนอนอย่างน้อย 7-8 .. เพื่อสุขภาพที่ดี
3.จดบันทึก
เราควรจดบันทึกการทานอาหาร การออกกำลังกายและชั่งน้ำหนักทุกวันเพื่อจะทำให้เรามีวินัยมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

คำนวณการเผาผลาญพลังงานโดยBMR

ร่างกายของคนเรามีการเผาผลาญพลังงานอยู่เสมอ แต่เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเราสามารถเผาผลาญพลังงานไปเท่าไร กี่แคลอรี่ กี่กิโลแคลอรี การคำนวณเผาผลาญพลังงานของร่างกายจริงๆแล้วเครื่องกำลังกายตามฟิตเนตจะมีค่าบอกว่าเราเผาผลาญพลังงานไปเท่าไร แต่ถ้าเราไม่ได้ไปฟิตเนตล่ะเราออกกำลังลดน้ำหนักอยู่ที่บ้าน เราจะคำนวณยังไง เราจะคำนวณโดยใช้ค่า BMR (Basal Metabolic Rate) หลายครับอาจสงสัยว่าค่า BMR (Basal Metabolic Rate)คืออะไรดูกันต่อเลยครับ
BMR (Basal Metabolic Rate)เราสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัตราการเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน ซึ่งถ้าหากเราไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย เอาแต่นั่งๆนอนๆทั้งวันจะมีการเผาผลาญพลังงานโดยการคำนวณจากสูตร BMR (Basal Metabolic Rate)ดังนี้


สำหรับผู้ชาย :BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.8 x อายุ) 
สำหรับผู้หญิง:BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.8 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.7 x อายุ)               
****จากสูตร BMR (Basal Metabolic Rate)เราจะสังเกตุได้ว่าน้ำหนัก ส่วนสูงและอายุมีผลต่อการเผาผลาญพลังงาน
เมื่อหาค่า BMR (Basal Metabolic Rate) มาแล้วเราก็จะสามารถรู้ได้ว่าเรามีการการเผาผลาญพลังงานโดยไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยเท่าไร ต่อมาเราจะมาคำนวณว่าการเผาผลาญพลังงานโดยปกติ(มาการออกกำลังกาย)มีเผาผลาญพลังงานโดยคำนวณได้ดังนี้
การเผาผลาญพลังงานโดยปกติ = BMR x ตัวแปร
โดยตัวแปรของเราจะขึ้นอยู่กับการออกกำลังของเราดังนี้
นั่งทำงานอยู่กับที่ และไม่ได้ออกกำลังกายเลย                               = BMR x 1.2
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเล็กน้อย ประมาณอาทิตย์ละ 1-3 วัน     = BMR x 1.375
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาปานกลาง ประมาณอาทิตย์ละ 3-5 วัน  = BMR x 1.55
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนัก ประมาณอาทิตย์ละ 6-7 วัน  = BMR x 1.725
ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาอย่างหนักทุกวันเช้าเย็น                        = BMR x 1.9